Thursday, November 13, 2014

โปรตุเกส อดีตดินแดนศูนย์รวมวัฒนธรรม


1.กว่าจะมาเป็นชาวโปรตุเกส
 

 

 
 
(แผนที่ของคาบสมุทรไอบีเรีย)
 
ชนกลุ่มแรกที่เข้ามำตั้งรกรากในดินแดน คาบสมุทรไอบีเรีย

1. ชนกลุ่มเชื้อสำยของมนุษย์ในยุคหินใหม่
 
 

มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าชนกลุ่มนี้เดินทางมาตั้งรกรากในดินแดนคาบสมุทรไอบีเรีย ประมาณ 3,000 ถึง 4,000 ปีก่อนคริสตกาล เชื่อกันว่ามีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เอเชียน้อย มรดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของอารยธรรมยุคหินใหม่ที่ยังคงเห็นได้อยู่ในปัจจุบันซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศสเปนและเขตอัลการ์ฟ คือ ที่ฝังศพหิน

2. พวกฟินีเซียน (Phoenician)

                                        
 
 
เดินทางมาถึงพื้นที่บริเวณนี้ ประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล มีชื่อเสียงในเรื่องการค้าขาย และการเป็นนักสำรวจ
 
3. พวกไอบีเรียน (Iberian)
 
                                           
 
 
เชื่อกันว่าได้มาตั้งถิ่นฐานในบริเวณหมู่บ้านเอโบร (Ebro) ในประเทศสเปนตั้งแต่สมัยยุคโลหะ แต่หลักฐานที่มีการจารึกไว้ถึงชนกลุ่มไอบีเรียนในดินแดนประเทศโปรตุเกสในปัจจุบัน สามารถยืนยันการตั้งรกรากของพวกไอบีเรียนได้เพียง 600 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่เข้ามาตั้งรกรากหลังพวกฟินีเซียน อย่างไรก็ตามชื่อของดินแดนคาบสมุทรแห่งนี้ได้ตั้งตามชื่อของพวกไอบีเรียนนี้เอง
 
4. พวกพ่อค้ากรีก (Greek)

                                              
 
 
ได้เดินทางเข้ามาในดินแดนบริเวณนี้ ประมาณ 700 ปีก่อนคริสตกาล
 
5. พวชาวเซลต์ หรือ เคลต์ (Celts)
 
                               
 
 
เป็นชนกลุ่มที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในยุโรปกลาง ได้เข้ามาตั้งรกรากอยู่บนคาบสมุทรไอบีเรีย ประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล พวกเซลต์มีข้อได้เปรียบมากกว่าชนชาติอื่นๆ ที่เข้ามาตั้งรกรากก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีฝีมือด้านช่างเหล็ก ซึ่งในสมัยนั้นเหล็กเป็นโลหะที่มีความสำคัญมาก โดยไม่ได้ใช้สำหรับเป็นแค่เพียงเครื่องประดับหรืออาวุธ แต่ยังใช้ผลิตเป็นเครื่องมือทางการเกษตรเพื่อใช้ในการเพาะปลูกด้วย
 
6. พวกคาร์ธาจีเนียน หรือ คาร์เธจ (Carthaginian)
 
                                         
 
 
สืบเชื้อสายมาจากพวกฟินีเซียน ทำการค้าขายเป็นหลัก
 
7. พวกชนกลุ่ม เซลติเบเรียน (Celtiberian)
 
                               
 
 
ชนกลุ่มนี้เป็นลูกผสมระหว่างชาวเซลต์และชาวไอบีเรียน มีถิ่นฐานอยู่บริเวณที่เรียกว่า ลูสิตาเนีย (Lusitania) ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำไตย์ฌูและแม่น้ำโดรู ทำให้ชาวโรมันที่เข้ามาในสมัยต่อมาเรียกชนกลุ่มนี้อีกชื่อหนึ่งว่า ชาวลูซิตาเนียน (Lusitanian) ด้วยความกล้าหาญและมีความเข้มแข็ง ทำให้พวกลูซิตาเนียน ได้รับการยกย่องว่า เป็นชนกลุ่มที่มีความเข้มแข็งที่สุดในชนชาติไอบีเรียน
 
8. ชาวโรมัน
 
                 
 
 
เข้ามารุกรานพื้นที่บริเวณคาบสมุทรไอบีเรียนเมื่อ 219 ปีก่อนคริสตกาล และได้ครอบครองดินแดนบริเวณนี้ถึง 700 ปี ระหว่างที่ชาวโรมันอาศัยอยู่นั้น ได้ก่อตั้งเมือง Olisipo (เมืองลิสบอนในปัจจุบัน), Bracara (เมืองบราก้าในปัจจุบัน), Scalabis (เมืองซังตาแร็ง ในปัจจุบัน) โดยอิทธิพลจากชาวโรมันที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน คือ ถนน สะพาน และสะพานส่งน้ำแบบโรมัน เป็นต้น ที่สำคัญภาษาละตินซึ่งเป็นภาษาที่ชาวโรมันใช้ ได้กลายมาเป็นรากภาษาของภาษาโปรตุเกสในปัจจุบัน
 
9. ชาววิสิกอธ (Visigoth)
 
                              
 
 
สืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าเยอรมันตะวันออก ซึ่งเข้ามาในดินแดนแถบนี้ ในปีคริสตศักราช 416 โดยมีชัยชนะเหนือพวกโรมันและได้ครอบครองพื้นที่อยู่เป็นระยะเวลา 300 ปี และมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการกำหนดกฎหมายครอบครองที่ดินชาวพื้นเมือง ซึ่งนำไปสู่การแบ่งชนชั้นในสังคมบนพื้นฐานของความมั่งคั่ง
 
10. พวกแขกมัวร์ (Moors)
 
              
 
 
เป็นพวกแขกอาหรับ มีถิ่นฐานอยู่บริเวณทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ได้เดินทางมาถึงคาบสมุทรไอบีเรียน ในปีคริสตศักราช 711 และได้ครอบครองดินแดนนี้อยู่ถึง 500 ปี ก่อนจะถูกขับไล่ออกไปโดยพวกคริสตศาสนิกชน โดยวิธีการที่เรียกว่า Reconquista (การพิชิตดินแดนคืนของคริสตจักร) อย่างไรก็ตาม อารยธรรมอันรุ่งเรืองของพวกแขกมัวร์ ที่มีอิทธิพลต่อประเทศโปรตุเกส และประเทศสเปน และยังคงเหลือไว้ให้เห็นอยู่ในปัจจุบันมีอยู่อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บ้านสไตล์แขกมัวร์ ที่ทาด้วยสีขาวทั้งหลัง และมีปล่องไฟทรงกลม มีให้เห็นอย่างแพร่หลายบริเวณเขตอัลการ์ฟ ศิลปะการทำกระเบื้อง และเขียนลายกระเบื้อง ซึ่งรู้จักกันในนามของกระเบื้อง Azulejo และอิทธิพลทางด้านภาษา ที่ปัจจุบันยังคงพบคำศัพท์ที่มีรากศัพท์มาจากภาษาอาหรับ เป็นต้น
 
 
 
 
 
พราะฉะนั้นกว่าจะมาเป็นชาวโปรตุเกส หน้าตาอย่างที่เห็นอย่างทุกวันนี้ ต้องผ่านผู้ครองดินแดนไปแล้วกี่ยุค  เพราะชาวโปรตุเกสนั้นไม่ได้มีเชื้อชาติที่แน่นอนเหมือนชาวเยอรมันหรือชาวอังกฤษ แต่มีการผสมปนเปมามากกว่า 10 เผ่าพันธุ์จากดินแดนต่างๆ 
 
 
 
การก่อตั้งอาณาจักรโปรตุเกสและราชวงศ์
 
 
  หลังจากขับไล่พวกแขกมัวร์ออกไปจากดินแดนคาบสมุทรไอบีเรียได้สำเร็จ โปรตุเกสก็ได้สร้างชาติและก่อต่อราชวงศ์ในศตวรรษที่ 12 โดยมีกษัตริย์พระองค์แรก คือ พระเจ้าอัลฟงซู เองริกึช (Dom Afonso Henriques) โดยเมืองหลวงของประเทศในตอนนั้นเป็นเมืองกิมารายช์ (Guimarães) อีกทั้งเมืองอัลการ์ฟเป็นเมืองสุดท้ายที่ยึดคืนมาได้จากพวกแขกมัวร์โดยพระเจ้าอัลฟงซูที่ 3
 
 
ช่วงระหว่างศตวรรษที่ 15 - 16 เป็นยุคทองของประเทศโปรตุเกส เพราะมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านการทหาร การค้าขาย การเดินเรือ รวมทั้งการแสวงหาอาณานิคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินเรือ ซึ่งโปรตุเกสประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากความได้เปรียบทางด้านที่ตั้ง ภูมิศาสตร์ เทคโนโลยี ความก้าวหน้า และความชำนาญด้านการเดินเรือ โปรตุเกสค้นพบเส้นทางเดินเรือใหม่ๆ เป็นยุคแห่งการค้นพบ โดยบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการให้การสนับสนุนการเดินเรือออกเดินทางสำรวจ คือ เจ้าชายเองริกึ Henrique หรือ Henry the Navigator พระโอรสในกษัตริย์จูเอาว์ที่ 1 (João I) และพระนางฟิลิปา แห่ง ลองกัชตรึ (Filipa de Lencastre) โดยพระองค์ได้ริเริ่มความคิดในการออกสำรวจดินแดนทางทะเลบริเวณแหลมโบฌาดอร์ (Cabo de Bojador) บนชายฝั่งแอตแลนติกของทวีปแอฟริกา และได้เข้ายึดครองเมือง เซวตา (Ceuta) ของประเทศโมร็อกโก และได้ก่อตั้งหมู่บ้านการเดินเรือขึ้น ณ เมือง ซากรึช (Sagres) ในเขตอัลการ์ฟ ซึ่งนำไปสู่การค้นพบที่สำคัญในระยะเวลาต่อมา อาทิ
 
ปี ค.ศ. 1419 ค้นพบหมู่เกาะมาไดย์รา (Madeira)
 
หมู่เกาะมาไดย์รา
 
                                  ปี ค.ศ. 1427 ค้นพบหมู่เกาะอะซอรึช (Açores)
 
หมู่เกาะอะซอรึช
 
ปี ค.ศ 1456 ค้นพบประเทศ กาบู แวร์ดึ (Cabo Verde) และประเทศกิแน บิสเซา (Guiné-Bissau)
 
ประเทศ กาบู แวร์ดึ
 
ปี ค.ศ. 1471 ค้นพบประเทศเซาว์ตูแม และ ปรินซิปึ (São Tomé e Principe)
ปี ค.ศ. 1488 บาร์ตูลูเมว เดียช์ (Bartolomeu Dias)สามารถเดินเรือ อ้อมแหลม Good Hope ได้สำเร็จ
 
แหลมกู๊ดโฮป
 
ปี ค.ศ. 1497 วาสกู ดา กามา (Vasco da Gama) เป็นนักเดินเรือคนแรกที่เดินทางถึงเมือง กาลิกัต (Calicut) ท่าเรือการค้าที่สำคัญของประเทศอินเดีย ซึ่งการค้นพบครั้งนี้เป็นการค้นพบที่สำคัญ ที่นำความรุ่งเรือง และรุ่งโรจน์มาสู่ประเทศโปรตุเกส และได้ทำให้โปรตุเกสเป็นมหาอำนาจของโลกในสมัยนั้น จากการนำเข้าเครื่องเทศและสินค้าจากประเทศอินเดียและทวีปเอเชีย มาขายต่อให้แก่ประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรป
 
วาสกู ดา กามา
 
        ปี ค.ศ. 1500 เปดรู อัลวารึช กาบรัล (Pedro Alvares Cabral) ค้นพบประเทศบราซิล 
 
เปดรู อัลวารึช กาบรัล
 
ปี ค.ศ. 1519 - 1521 ฟึร์เนาว์ มากัลยายช์ หรือ แมกเจลแลน (Fernão Magalhães หรือ Ferdinand Magellen) เดินทางรอบโลกสำเร็จ และยืนยันข้อสันนิษฐานเรื่องโลกกลม
 

แมกเจลแลน
 
ปลายศตวรรษที่ 16 เป็นช่วงที่ประเทศโปรตุเกสเริ่มเสื่อมอำนาจลง ทั้งจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ คู่แข่งในการเดินเรือ ความขัดแย้งภายในประเทศ และการรุกรานของประเทศสเปน ทำให้เกิดสงครามระหว่างประเทศขึ้นมา ประเทศโปรตุเกสแพ้จึงต้องสูญเสียเอกราช และอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศสเปนเป็นระยะเวลาถึง 60 ปี ระหว่างปี ค.ศ. 1580 ถึง ค.ศ. 1640 โดยในระยะเวลานั้นประเทศโปรตุเกสต้องประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ทางการค้า ทางการเกษตร และประเทศในอาณานิคมก็ไม่ได้รับการดูแลอย่างที่ควรจะเป็น ต่อมาในวันที่ 1 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1640 ประเทศโปรตุเกสสามารถกอบกู้เอกราชคืนมาจากประเทศสเปนและกษัตริย์ฌูเอาว์ ที่สี่ (João IV) แห่งราชวงศ์บรากันซา ได้สถาปนาการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง มีการฟื้นฟูเศรษฐกิจและมีความพยายามในการยึดคืนพื้นที่อาณานิคมทางทะเลที่สูญเสียไประหว่างที่เสียเอกราชให้ประเทศสเปน ในปี ค.ศ. 1703 ประเทศโปรตุเกสได้ลงนามในสนธิสัญญา Methuen กับประเทศอังกฤษ เป็นการเปิดการค้าการส่งออกไวน์ไปยังสหราชอาณาจักรและนำเข้าสินค้าประเภทสิ่งทอจากประเทศอังกฤษปี ค.ศ. 1807 กองกำลังทหารของนโปเลียน รุกรานประเทศโปรตุเกส กษัตริย์ฌูเอาว์ที่ 6 (João VI) และราชวงศ์ได้ลี้ภัยไปประเทศบราซิล ทำให้ไม่มีผู้ปกครองประเทศในขณะนั้น กองกำลังทหารโปรตุเกสพยายามสู้รบกับกองกำลังฝรั่งเศสระหว่าง ปี ค.ศ. 1807-1811 และด้วยความช่วยเหลือของกองกำลังอังกฤษนำโดย เซอร์อาเธอร์ เวลเลสลีย์ (Arthur Wellesley) ในที่สุดก็สามารถขับไล่กองกำลังทหารฝรั่งเศสออกจากประเทศโปรตุเกสได้เป็นผลสำเร็จระยะเวลาต่อจากนั้น ประเทศโปรตุเกสต้องประสบกับปัญหาโรคระบาด ปัญหาสงครามกลางเมือง การสูญเสียดินแดนประเทศบราซิล ซึ่งประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1822 ทำให้ประเทศแบ่งแยกออกเป็นพรรคเป็นฝ่าย มีการก่อตั้งพรรคสังคมนิยม พรรครีพับลิกัน รวมถึงเกิดความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์ กษัตริย์ไม่เข้มแข็งพอ และในปี ค.ศ. 1908 กษัตริย์คาร์ลอสที่หนึ่ง (Dom Carlos I) และพระราชโอรสถูกลอบปลงพระชนม์ ณ กรุงลิสบอน และอีกสองปีต่อมา ประเทศโปรตุเกสได้ถูกปกครองโดยกษัตริย์มานูเอลที่สอง (Dom Manuel II) ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของประเทศ ก่อนที่ระบอบกษัตริย์จะถูกปฏิวัติล้มล้างในปี ค.ศ. 1910 และสมาชิกราชวงศ์ทั้งหมดต้องลี้ภัยไปประทับที่ประเทศอังกฤษ นับเป็นการสิ้นสุดการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชของประเทศโปรตุเกสอย่างสมบูรณ์ 
 
การก่อตั้งสาธารณรัฐและรัฐใหม่
 
 
วันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1910 โปรตุเกสได้รับการสถาปนาเป็นสาธารณรัฐ มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นในปี ค.ศ. 1911 แต่พรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่ต้องการอำนาจทางการเมืองมากกว่าความก้าวหน้าของประเทศทำให้ประเทศต้องเผชิญกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ความแตกต่างเหลื่อมลำระหว่างชนชั้น ภูมิภาคและเมืองกับชนบท รวมทั้งภาวะล้มละลายทางเศรษฐกิจ ความไม่สงบทางการเมือง รัฐบาลขาดเสถียรภาพ เกิดความขัดแย้งแตกแยกรุนแรงทางการเมืองถึงขั้นเกิดการลอบสังหาร กบฏ รัฐประหารและสงครามกลางเมืองอย่างไม่หยุดหย่อนอยู่ร่วม 16 ปี ในที่สุดรัฐบาลก็ถูกโค่นโดยวิธีการรัฐประหารและพลเอกอันตอนีอู ออชการ์ ดือ ฟรากอซู การ์มูนา (António Oscar de Fragoso Carmona) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีภายใต้ระบอบเผด็จการ โดยได้แต่งตั้งนายอันตอนิอู ซาลาซาร์ (António Salazar) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ด้วยผลงานอันโดดเด่น นายซาลาซาร์ จึงได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดีพลเอกการ์มูนาให้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนกรกฎาคม ในปี ค.ศ. 1933 หนึ่งปีต่อมา นายกรัฐมนตรีซาลาซาร์ก็ผลักดันการออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ประกาศให้โปรตุเกสเป็น "Estado Novo" หรือ "รัฐใหม่" ในลักษณะ "สาธารณรัฐแบบเอกรัฐบรรษัทนิยม" (unitary, corporatist republic) เน้นระเบียบวินัยเหนือสิทธิเสรีภาพ และพยายามปิดกั้นสื่อผ่านการเซ็นเซอร์ มีการโฆษณาชวนเชื่อและจับกุมคุมขังพรรคการเมืองฝ่ายค้าน รัฐบาลเข้ากำกับควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายนายจ้างกับแรงงาน ห้ามลูกจ้างนัดหยุดงาน ห้ามนายจ้างกีดกันงาน และคอยติดตามตรวจตราการวางแผนสวัสดิการสังคม พรรคการเมืองทั้งหมดถูกสั่งห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง เรียกร้องและส่งเสริมให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าร่วมขบวนการสหภาพแห่งชาติที่ภักดีและผ่านความเห็นชอบของรัฐบาล อย่างไรก็ตามรัฐบาลชุดนี้ได้สร้างผลงานให้กับประเทศหลายประการ อาทิ การดำเนินการฟื้นฟูประเทศ การเพิ่มค่าเงินสกุลโปรตุเกสในต่างประเทศ การก่อสร้างถนน ท่าเรือ โรงเรียน โรงพยาบาล ขึ้นมาใหม่ รวมทั้งการกระตุ้นภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ ทำให้โปรตุเกสมีรายได้อย่างต่อเนื่องจากการส่งออกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งประเทศโปรตุเกสไม่ได้เข้าร่วมแต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองได้สิ้นสุดลง ประเทศโปรตุเกสต้องประสบกับปัญหาอีกครั้งจากการที่ประเทศในอาณานิคมของโปรตุเกสเริ่มทำสงครามประกาศอิสรภาพ เนื่องจากรัฐบาลไม่มีนโยบายปลดปล่อยประเทศในอาณานิคมให้เป็นอิสระ ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลในการทำสงครามกับดินแดนที่เรียกร้องเอกราชเหล่านั้น ทำให้เศรษฐกิจของประเทศถดถอยอย่างหนักและทำให้โปรตุเกสเป็นประเทศที่ยากจนและด้อยพัฒนาที่สุดในยุโรปตะวันตกในช่วงนั้น ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากยุคแห่งการค้นพบ
 
 
 
การปฏิวัติคาร์เนชั่น (Revolução dos Cravos)
 
ทหารในเหตุการณ์ปฏิวัติดอกคาร์เนชั่น

ในปี ค.ศ. 1968 นายกรัฐมนตรี ซาลาซาร์ ประสบอุบัติเหตุในบ้านพัก ทำให้ทุพพลภาพและต้องสละตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งแทนคือ นายมาร์เซลู กายตานู (Marcelo Caetano) และได้ดำรงตำแหน่งอยู่จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติคาร์เนชั่น หรือการปฏิวัติโดยสันติวิธีโดยฝ่ายทหาร ในวันที่ 25 เมษายน ปี ค.ศ. 1974 การปฏิวัติเป็นไปอย่างสงบ นักโทษทางการเมืองได้รับการปล่อยตัว ทหารนำดอกคาร์เนชั่นมาเสียบไว้ที่ปากกระบอกปืนแห่ไปรอบเมือง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อการปฏิวัติคาร์เนชั่น สงครามเรียกร้องอิสรภาพของประเทศในอาณานิคมที่มีมาอย่างยาวนานได้สิ้นสุดลงไปด้วยโดยการที่ประเทศเหล่านั้นต่างก็ได้รับเอกราช 
 
 
 
เหตุการณ์ปฏิวัติดอกคาร์เนชั่น ค.ศ.1974
 
 

ชาวโปรตุเกสเขาเป็นคนอย่างไร ??
ลักษณะนิสัยของชาวโปรตุเกสส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรกเลยครับ โดยทั่วไปชาวโปรตุเกสทำงานเพื่อความอยู่รอด ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อการทำงาน และไม่ค่อยที่จะเคร่งและเครียดกับการทำงานมากนัก เป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวโปรตุเกสนั้นเป็นคนที่ชอบมาสาย มาช้า ไม่ตรงเวลาและชอบขี้เกียจ เวลามีใครขอให้ช่วย ก็จะถอนหายใจบ้าง หน้าบึ้งบ้าง (แต่ก็ยอมทำตามอย่างตั้งใจ) แต่เอาจริงๆแล้วชาวโปรตุเกสเป็นคนที่มีจิตใจดี ชอบเข้าสังคม ช่วยเหลือผู้อื่น (บ้างกรณี) ถึงแม้ว่าในช่วงแรกๆ การสร้างมิตรภาพกับชาวโปรตุเกส อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เพราะชาวโปรตุเกสมักจะไม่ค่อยเปิดใจในการที่จะเริ่มต้นทำความรู้จักกับคนที่ไม่คุ้นเคยในระยะแรก ทำให้ดูเหมือนคนโปรตุเกสเข้าถึงยากนะครับ แต่เมื่อได้ลองทำความรู้จัก ลองทำให้ชาวโปรตุเกสเกิดความไว้วางใจแล้ว พวกเขาก็จะเปิดใจและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง คล้ายๆกันกับชาวเยอรมัน ก็ไม่ค่อยจะสุงสิงกับคนรู้จัก แต่จะคุยอย่างสนุกสนานกับเพื่อนของตนเท่านั้น และจะเชื่อใจกันมากเลยทีเดียว  
ร้านอาบราซิไลร่า
ชาวโปรตุเกสทุกวัยชอบการเข้าสังคม ชอบการพูดคุยและสังสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านกาแฟ ที่ทำงาน ร้านอาหาร และบาร์  ชาวโปรตุเกสมีความภาคภูมิใจกับอาหารประจำชาติมาก ถ้าแม่บ้านโปรตุเกสเห็นชาวต่างชาติรับประทานอาหารโปรตุเกสด้วยความเอร็ดอร่อย ก็จะประทับใจเป็นอย่างมาก  แต่ถ้าเป็นเรื่องงานชาวโปรตุเกสมักไม่ค่อยเคร่งครัดในเรื่องการตรงต่อเวลานัก โดยทั่วไปชาวโปรตุเกสมักจะทำตัวตามสบายในเวลางาน ไม่รีบร้อนหรือกระตือรือร้น และไม่มีกำหนดเวลาการทำงานที่เข้มงวด (เลยมาสายไง) ชาวโปรตุเกสได้รับการสั่งสอนให้มีความเคารพผู้ที่มีอายุมากกว่า เช่น ในกรณีที่ผู้ใหญ่กำลังจะเดินผ่านไป ผู้น้อยจะต้องหยุด ทักทาย และให้ผู้ใหญ่เดินผ่านไปก่อน  อีกอย่างนะครับ โปรตุเกสเป็นประเทศที่เคร่งศาสนา โดยประมาณร้อยละ 85 ของประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และ 50 เปอร์เซ็นต์ของคริสตศาสนิกชนชาวโปรตุเกสจะเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาที่โบสถ์อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง ถ้ามีพวกนอกรีตก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรเหมือนกัน 

เรื่องกีฬาฟุตบอล ต้องยกให้โปรตุเกส เพราะว่าประเทศนี้ค่อนข้างคลั่งใคล้ในกีฬาฟุตบอลมาก ถึงกับเอามาเล่าเป็นชีวิตประจำวันได้เลย แต่ทำไมนะ ผมถึงไม่ชอบเอาซะเลย (ดูแต่อเมริกันฟุตบอลกับจักรยาน) เด็กที่ประเทศนี้จะได้รับการปลูกฝังแบบเรียกได้ว่า ถ้าชอบ ทางครอบครัวก็จะส่งเสริมลูกอย่างที่สุด เลยมีนักเตะดังๆจากประเทศนี้เยอะ อย่างคริสติโน่ โรนัลโด้ (รู้จักอยู่คนเดียว) เป็นต้น  ถ้าเวลาคุณไปกินข้าวกับชาวโปรตุเกส ก็สามารถหยิบเรื่องฟุตบอลมาคุยกันได้ สามารถหาเรื่องคุยกันได้ไม่เบื่อเลยล่ะ

บทเพลงฟาดู
บทเพลงฟาดูเป็นบทเพลงพื้นเมืองของโปรตุเกส มีลักษณะท่วงทำนองลึกซึ้ง กินใจ และสามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณของชนชาติโปรตุเกสได้อย่างลึกซึ้ง คำว่า Fado มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า Fatum ซึ่งหมายถึง โชคชะตา บทเพลงฟาดูจึงมีเนื้อหาโศกศัลย์ รำพึงรำพันถึงโชคชะตา ขับขานควบคู่ไปกับกีตาร์โปรตุเกส สะท้อนให้เห็นถึงความโรแมนติกและความเชื่อในเรื่องโชคชะตาและพรหมลิขิตของชาวโปรตุเกส ซึ่งฟังดูแล้วก็โหยหวนเอามากๆ  แต่เวลาร้องก็ใช่ว่าจะใส่ชุดอะไรก็ได้ กีตาร์โปรตุเกสและผ้าคลุมไหล่สีดำเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญและขาดไม่ได้ในการขับร้องบทเพลงฟาดู โดยคนร้องชายจะแต่งกายด้วยสูทสีเข้มหรือสีดำทั้งชุด ส่วนคนร้องผู้หญิงจะต้องแต่งกายด้วยชุดสีเข้มและคลุมไหล่ด้วยผ้าสีดำ จะได้เข้ากันกับบทเพลง ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมเขาก็ว่าได้
บทเพลงฟาดูขนานแท้จะขับกล่อมกันภายในร้านอาหารหรือบาร์ขนาดเล็กในเขตเก่าแก่ของกรุงลิสบอน เช่น Alfama และ Bairro Alto นักร้องบทเพลงฟาดูที่มีชื่อเสียงระดับโลกของโปรตุเกส คือ Amália Rodrigues, Dulce Pontes และ Mariza เป็นต้น 

O Sonho ขับร้องโดยวงดนตรี Madredeus เพลงโปรดของผมเลย 

อิทธิพลทางอาหารของบ้านเขาก็มีในประเทศไทยเรา อย่างที่รู้ๆกันคือทองหยิบ ทองหยอด พวกตระกูลทองทั้งหลาย รวมทั้งขนมหม้อแกง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นขนมของโปรตุเกสทั้งสิ้น ซึ่งบ้านเราก็มีมาร์รี กีมาร์ เดอ ปีนา หรือที่รู้จักกันในนามท้าวทองกีบม้า ซึ่งเป็นสุภาพสุตรีชาวโปรตุเกสเชื้อสายเบงกอลและญี่ปุ่น เป็นภรรยาของคอนสแตนติน ฟอลคอน (สมุหนายกในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) เมื่อเข้าไปรับราชการในพระราชวังได้สร้างสรรค์ขนมหวานหลายชนิด โดยดัดแปลงมาจากตำรับอาหารโปรตุเกส ให้เป็นขนมหวานของไทย และเผยแพร่ไปโดยทั่วไป ท้าวทองกีบม้าจึงได้ชื่อเป็น "ราชินีแห่งขนมไทย"  ไม่เพียงแต่ขนมไทยเท่านั้น ภาษาโปรตุเกสยังมีอิทธิพลต่อภาษาไทยเช่นคำว่ากาแฟ กับชาเป็นต้น 
นมฝอยทอง





1 comment:

  1. Merkur Merkur 38C Chrome - Barber pole | DECCASINO.COM
    The Merkur 34c is an innovative 2-piece double edge septcasino safety razor, featuring the Merkur 34c handle. The head is choegocasino chrome-plated deccasino with a chrome finish.

    ReplyDelete